เมื่อหลายปีก่อน การใช้การ์ดจอหลายๆใบในการเล่นเกม เป็นอีกหนึ่งวิธีที่จะโชว์ว่าคอมของเรานั้น "แรง" และฐานะการเงินในกระเป๋าของเรานั้น "เข้าขั้นดี" เวลาถ่ายรูปเปิดฝาเคสออกมา เห็นการ์ดจอเรียงซ้อนๆกันหลายใบ เชื่อมต่อกันด้วย Bridge ระหว่างตัวนั้น มันจะทำให้คอมของคุณดูมีออร่าเป็นพิเศษเมื่อถ่ายรูปอวดชาวบ้านเขา แต่ช่วงหลังๆนี้ก็เหมือนว่าเราจะไม่ค่อยเห็นเห็นสิ่งเหล่านี้เท่าไหร่แล้วเนื่องจากมีเหตุผลหลายข้อที่มันไม่สามารถตอบโจทย์การใช้งานได้เต็มที่
อย่างแรกเลยก็คือในเรื่องของประสิทธิภาพในการเล่นเกม ที่หลายๆคนอาจจะคิดว่า การเอาการ์ดจอรุ่นเดียวกันสองตัวมาต่อใช้งานคู่กัน นั่นแปลว่าประสิทธิภาพในการเล่นเกมหรือการทำงานอะไรก็ตามนั้น จะต้องดีขึ้นสองเท่า หรือ สาม สี่ เท่า ตามจำนวนการ์ดจอที่ใส่เข้าไป แต่ความเป็นจริงแล้วมันไม่ใช่แบบนั้นเลย และตรงนี้ก็ขึ้นอยู่กับเกมและงานที่ใช้เป็นหลักด้วย อย่างเช่นบางเกม การใส่การ์ดจอเข้าไปหลายๆตัวผ่านโหมด SLI นั้น ประสิทธิภาพที่เพิ่มเติมขึ้นมา กลับทำได้แค่นิดเดียว และเมื่อคำนวนสิ่งที่ได้มากับเงินที่เสียไปแล้ว การเพิ่มเงินไปซื้อการ์ดจอรุ่นบนกว่าเพียงตัวเดียวนั้นกลับทำประสิทธิภาพได้ดีกว่า .. แต่นี่คือก็คือกรณีที่เกมและงานนั้นๆรองรับการทำงานของ GPU หลายตัวนะครับ ไม่นับเกมที่ไม่รองรับ เพราะถ้าเป็นกรณีนั้นแล้วหล่ะก็ ไม่ว่าคุณจะใส่การ์ดจอเข้าไปกี่ใบ ประสิทธิภาพมันก็ไม่ได้เพิ่มเติมจากตอนใส่ใบเดียวขึ้นมาเลย ซึ่งเกมปัจจุบันส่วนใหญ่ก็ไม่ได้รองรับการ์ดจอหลายใบอยู่แล้ว จึงทำให้เราแทบไม่เห็นใครเสียบการ์ดจอหลายใบเลย ยกเว้นพวกที่จะเอาไปทำงานด้านการประมวลผลเพียวๆ หรือขุด Cryptocurrency ที่พวกนี้การ์ดแต่ละตัวจะทำงานแยกกัน จึงไม่มีความจำเป็นต้องมาใช้เทคโนโลยีของ SLI หรือ NVLink รวมการทำงานแต่อย่างใด
อีกเหตุผลนึงเลยก็คือ ประสิทธิภาพของการ์ดจอตัวเดียวสมัยนี้ เพียงพอสำหรับการใช้งานแทบจะครอบคลุมทั้งหมดอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นการเล่นเกมระดับปรับสุดบนความละเอียด 4K ก็มีการ์ดจอแบบ "ใบเดียว" ตอบโจทย์คุณได้ หรือถ้าต่ำลงมามากกว่านั้นก็มีให้เลือกครบทุก Segment ตั้งแต่เริ่มต้น Full HD เล่นพอได้ไม่ต้องปรับสุด ไปจนถึง FHD QHD ปรับสุด ยัน UHD ปรับสุดอย่างที่่ได้ว่าไป คุณก็เลือกเอาได้เลยตามงบประมาณที่คุณจ่ายไหว และแน่นอนว่าในเมื่อการ์ดใบเดียวตอบโจทย์ได้แล้ว เราก็ไม่ต้องมาเจอปัญหาเรื่องการ Optimization ระหว่างการ์ดจอสองตัวอย่างที่เคยเจอมาก่อน จึงไม่มีเหตุผลอะไรที่คนจะเอาเทคโนโลยีเรื่องของ Multiple GPU มาใช้กัน
ในการ์ดจอรุ่นใหม่ๆ เราจึงได้เห็นเทคโนโลยีการเชื่อมต่อตรงนี้น้อยลงไปเรื่อยๆ อย่างรุ่นที่ผ่านมาซึ่งยังขายอยู่ในปัจจุบัน แบบ RTX30 Series นั้น ก็ไม่ได้มีการใส่ฟีเจอร์รองรับอย่าง NVLink มาให้เลย ยกเว้นแค่ตัวบนอย่าง RTX3090 ขึ้นไปเท่านั้น ที่ทาง NVIDIA ยังให้ Connector มาสำหรับผู้ที่ยังต้องการใช้งานอยู่ เพราะว่าอาจจะยังมี Workload ประเภททำงานยังสามารถใช้ประโยชน์ได้ ซึ่ง RTX3090 ก็เป็นการ์ดรุ่นบน ที่ออกแบบมาสำหรับทั้งการเล่นเกม และการทำงานด้วย เหมือนกับตระกูล Titan สมัยก่อน จึงยังมีการใส่ช่อง NVLink เข้ามา
ล่าสุดนี้ทาง NVIDIA ได้เปิดตัวการ์ดจอ Codename ใหม่ อย่าง Ada Lovelace หรือที่คนส่วนใหญ่รู้จักกันในชื่อการตลาด RTX40 Series และ CEO ของแบรนด์อย่าง Jensen Huang ก็ได้ออกมาให้ข้อมูลกับสื่อว่าการ์ด Ada Lovelace รุ่นใหม่นี้จะไม่มี NVLink Connector ให้มาอีกต่อไป นับเป็นการยุติการรองรับเทคโนโลยี Multi-GPU ผ่าน Bridge เชื่อมต่ออย่างเป็นทางการ
สาเหตุตรงนี้ นาย Jensen ก็ได้บอกว่า เขาถอด NVLink Connector ออกไปเพราะว่าเขาต้องการช่อง I/O ตรงนั้นสำหรับการใช้งานอื่น เพราะว่าถ้าจะให้มีช่อง NVLink มันก็ต้องมีลายปริ้นเชื่อมไปยังช่องตรงนั้น ซึ่งเป็นสิ่งที่ดูแล้วอาจจะไม่จำเป็นอีกต่อไป ซึ่งทางวิศวกรของ NVIDIA ก็ใช้หลักการว่าจะทำยังไงก็ได้ ให้พื้นที่ของ PCB และ Silicon นั้นใช้ประโยชน์ได้มากที่สุด เพื่อรองรับพลังการประมวลผลด้าน AI ให้ดีที่สุดเท่าที่ทำได้
และนอกจากนั้นนาย Jensen ยังบอกอีกด้วยว่า GPU Ada Lovelace นั้นจะใช้พื้นฐานเป็น PCIe Gen 5 และ PCIe Gen 5 นี้ก็รองรับการเชื่อมต่อแบบ Peer-to-peer cross อยู่แล้ว ซึ่งตรงนี้มันก็มีประสิทธิภาพดีพอ ทำให้การถอดช่อง NVLink ออก เป็นอะไรที่คุ้มค่าที่จะเสียไป .. แต่อย่างไรก็ตามตัวการ์ดของ RTX40 Series นั้นยังไม่ได้ใช้ Interface แบบ PCIe 5.0 แต่ยังเป็น 4.0 เท่านั้น แปลว่าการ์ดส่วนใหญ่ที่เป็น Segment สำหรับเล่นเกมนี้ จะไม่ได้รองรับเทคโนโลยี Multi-GPU แต่อย่างใด ส่วนสาเหตุที่ตัว GPU รองรับ PCIe 5 แต่การ์ดนั้นยังไม่เป็น PCIe 5 .. ตรงนี้ Jensen ก็ให้ข้อมูลมาด้วยว่า ด้วยความแรงของตัวการ์ดในขณะนี้ PCIe Gen 4 ก็จัดว่าเพียงพอและเหลือเฟือแล้ว จึงยังไม่มีความจำเป็นต้องใช้ Interface การเชื่อมต่อเป็น PCIe 5 แต่อย่างใด เนื่องจากการ์ดรุ่นใหม่นี้มี Frame Buffer และ L2 Cache ที่ใหญ่ ทำให้สามารถลดความต้องการของช่อง PCIe Interface ไปได้พอสมควร
ข้อมูล : TechPowerUp