เทรนด์อุปกรณ์ Smart Home หรือ Gadget เจ๋งๆ ก็ยังมีให้เห็นมากมายในงาน CES 2019 ตั้งแต่หุ่นยนต์ดูดฝุ่นไปจนถึงระบบรักษาความปลอดภัยอัจฉริยะ เห็นได้ชัดว่า ตลาด IoT หรือ Internet of things กำลังอยู่ในช่วงที่อุตสาหกรรมเฟื่องฟู โดยเฉพาะการตอกย้ำของการพยากรณ์ว่า ปี 2019 นี้ จะมีการติดตั้ง Connected Device ทั่วโลกรวมกันมากกว่า 26,000 ล้านชิ้น
สิ่งที่เราจะพูดถึงหลังจากนี้ไปไม่ใช่เรื่องของเทรนด์ IoT หรืออุปกรณ์ Smart Home ในงาน CES แต่เป็นเพียงอุปกรณ์ชิ้นเล็กๆ ที่เราเคยเห็นมาตั้งแต่งาน CES 2018 อย่าง Smart Display แม้ว่าในประเทศไทยอาจจะมีคนที่รู้จักกันเพียงผิวเผิน และโอกาสที่จะแพร่หลายก็เป็นไปได้ยาก ถึงอย่างนั้นเราก็ควรรู้จักมันไว้
SMART DISPLAY: เป็นมากกว่าหน้าจอแสดงผล
จริงๆ แล้ว Smart Display มันไม่ใช่หน้าจออัจฉริยะเพียงอย่างเดียว แต่มันคือ ระบบ Voice Assistant ที่ทำงานร่วมกับลำโพงและหน้าจอสัมผัส ซึ่งออกแบบมาให้ใช้งานภายในบ้านโดยเฉพาะ หน้าจอแบบสัมผัสเองก็จะทำหน้าที่มากกว่าการควบคุมอย่างเช่น แสดงรายการเพลง แสดงผลคอนเทนต์วิดีโอ สนทนาผ่านวิดีโอคอลล์ และอื่นๆ อีกมากมาย นอกจากนั้นมันยังสามารถเชื่อมต่อและเข้าควบคุม Smart Device อื่นๆ ที่อยู่ภายในบ้านได้ด้วย
ในทางปฏิบัติแล้ว Smart Display ก็คือ ลำโพงบลูทูธที่บวกเอาระบบอัจฉริยะเข้าไปและเพิ่มเติมหน้าจอสัมผัสเพื่อเพิ่มรูปแบบการใช้งานให้มากขึ้น มันก็คล้ายๆ กับ Smart Speaker ผู้ใช้สามารถพูดคุยกับ Smart Display ที่ขับเคลื่อนโดยระบบ Voice Assistant อาจจะเป็น Amazon Alexa หรือ Google Assistant ซึ่งหากคุณเป็นคนที่ติดตามเทคโนโลยีก็จะจำได้ว่า Amazon เป็นผู้ริเริ่มเทรนด์นี้ด้วยอุปกรณ์อย่าง Echo Show และ Echo Spot หลังจากนั้นก็มีบริษัทยักษ์ใหญ่หลายรายเข้าสู่การแข่งขัน ตัวอย่างเช่น Google ที่เปิดตัวออกมาพร้อมกับ Google Home Hub หรืออย่าง Facebook กับ Facebook Portal และ Portal+
SMART DISPLAY VS. TABLET
บางคนอาจจะคิดว่า ในแท็บเล็ตเองก็มี Voice Assistant และแอพวิดีโอแชท แล้วทั้งสองอุปกรณ์นี้ต่างกันอย่างไร ? ข้อแตกต่างที่ใหญ่ที่สุดระหว่าง 2 อุปกรณ์นี้ก็คือ แทบเล็ตอย่าง iPad ถูกออกแบบให้มีความคล่องตัว พกติดตัวไปได้กับผู้ใช้ได้ทุกที่ ขณะที่ Smart Display ออกแบบมาเพื่อให้มันวางอยู่กับที่เช่นเดียวกับโทรศัพท์บ้านหรือนาฬิกาปลุก และใช้งานได้โดยไม่ต้องใช้มือ เนื่องจากมันให้ความสำคัญกับการสั่งงานด้วยเสียงไปยังระบบ Voice Assistant และสนับสนุนการทำงานร่วมกับฟังก์ชันวิดีโอ ความพิเศษเหล่านี้ทำให้ผู้คนสามารถใช้งาน Smart Display ได้โดยง่าย เพราะแค่พูดคุยกับพวกมัน นอกจากนั้นมันยังสามารถตั้งค่าให้ควบคุม Smart Device อื่นๆ ภายในบ้านได้ อย่างเช่น สวิทช์ไฟ หรือล็อกประตูหน้าบ้านด้วยคำสั่งเสียง
SMART DISPLAY ที่หาซื้อได้จริงๆ
Lenovo Smart Display: วางจำหน่ายในรุ่นหน้าจอ 10 และ 8 นิ้ว โดยใช้ระบบผู้ช่วย Google Assistant ในการสร้างวิดีโอแชท เล่นวิดีโอทำอาหารและเข้าถึงคอนเทนต์วิดีโอในยูทูป รวมถึงควบคุมเหล่า Smart Home ในบ้านของคุณ นอกจากนั้นยังเล่นเพลงได้จากแหล่งต่างๆ ในโลกออนไลน์ ในจุดนี้ถือว่ามันเป็นอีกหนึ่ง Smart Display ที่ดี หากว่ามีความคุ้นเคยกับ Google Assistant หรือเป็นแฟนของ Google Home สิ่งที่น่าชมเชยสำหรับ Lenovo Smart Display ก็คือ การแสดงผลภาพได้อย่างสดใส และปิดกล้องบนอุปกรณ์ได้ด้วยปุ่มสวิทช์ ถ้าคุณอยากได้ความเป็นส่วนตัว
JBL Link View: ลำโพงทรงวงรีที่ใส่จอภาพขนาด 8 นิ้วตรงกลางนี้ก็ใช้งาน Google Assistant เช่นกัน ซึ่งช่วยเหลือคุณในการจัดการกับเหล่า Smart Device เรียกใช้วิดีโอแชท ค้นหาข้อมูลผ่านเว็บ และอื่นๆ อีกหลายอย่าง ที่สำคัญมันสนับสนุน Google Cast สำหรับกระจายสัญญาณเสียงไปยังลำโพงตัวอื่นๆ ที่อยู่ภายในบ้าน
Amazon Echo Show: หนึ่งในลำโพงอัจฉริยะที่สอดแทรกหน้าจอเข้าไปเป็นรุ่นแรกๆ ซึ่งต่างจากอุปกรณ์ประเภทเดียวกันของผู้ผลิตรายอื่นๆ ตรงที่มันใช้อินเทอร์เฟซและฟังก์ชันการค้นหาอย่าง Alexa แทนที่จะใช้ Google Assistant ถือเป็นการเปิดเผยให้คนทั่วโลกมองเห็นความสามารถของ Alexa เมื่อทำงานอยู่จอแสดงผล ไม่ว่าจะเป็นการดูวิดีโอข่าวสาร หรือการรับชมรายการหรือภาพยนตร์ใน Amazon Prime Video แน่นอนว่า การควบคุมอุปกรณ์ Smart Device อื่นๆ ในบ้านก็ทำได้ไม่แพ้ฝั่ง Google เลย
Google Home Hub: อุปกรณ์ตัวนี้ถือเป็นคู่แข่งกับ Echo Show โดยตรง มาพร้อมกับหน้าจอขนาด 7 นิ้ว ขับเคลื่อนด้วย Google Assistant แต่ไม่ได้มีกล้องมาด้วย แม้มันจะสร้างปัญหาเล็กน้อยกับคนที่ต้องการใช้งาน Skype Call ทว่ามันก็ช่วยขจัดข้อกังวลในเรื่องความเป็นส่วนตัวออกไปได้ แน่นอนว่า มันอาจจะไม่ใช่ Smart Display ที่เพอร์เฟค แต่ถ้ามองในเรื่องการควบคุม Smart Home ก็ถือว่า ยอดเยี่ยมเลย
Facebook Portal: มันคือสมาร์ทโฟนที่เปิดให้ใช้งาน Amazon Alexa พร้อมลำโพงอัจฉริยะที่มีหน้าจอแสดงผล หลักๆ แล้วมันสามารถควบคุมเหล่าอุปกรณ์ Smart Home ได้เช่นเดียวกับอุปกรณ์อื่นๆ ที่สนับสนุนการทำงานร่วมกับ Alexa ทว่าเจ้า Facebook Portal มันมีเทคโนโลยี AI ในกล้องและไมโครโฟนที่เรียกว่า 2D Pose ทำให้อุปกรณ์สามารถบอกถึงความแตกต่างระหว่างบุคคลและวัตถุอื่นๆ ภายในห้อง กล้องจะหมุนหรือแพนติดตามผู้ใช้ไปรอบๆ ห้องโดยอัตโนมัติ รวมถึงทำการซูม เพื่อให้ภาพบนหน้าจอเคลื่อนที่ไปพร้อมกัน ซึ่ง Facebook Portal ถูกออกแบบมาเพื่อทำให้ผู้ใช้งานรู้สึกเหมือนกับกำลังพูดคุยกับคนจริงๆ ไม่ใช่คุยกันผ่านหน้าจอ ในตอนนี้ราคาของมันอยู่ที่ 199 เหรียญสหรัฐสำหรับ Portal ส่วน Portal+จะแพงไปอีกที่ราคา 349 เหรียญ น่าเสียดายที่ตอนนี้จำหน่ายเฉพาะในสหรัฐอเมริกาเท่านั้น
SMART DISPLAY ในอนาคต ?
ถ้ามองตามเทรนด์ของ Voice Assistant ในปีนี้แล้ว คาดว่าระบบผู้ช่วยของค่ายต่างๆ จะเข้าไปอยู่ในอุปกรณ์ Smart Device ในระดับหลักพันล้านเครื่อง เช่นเดียวกันก็มีการคาดว่า จำนวนของ Smart Display จะเพิ่มขึ้นตามไปด้วยเช่นกัน ซึ่งตรงนี้เรายังไม่เห็นอุปกรณ์ Smart ของทางฝั่งแอปเปิ้ลออกมาสักตัวหนึ่งเลย หากมีเปิดตัวหลังจากนี้ การคาดการณ์ต่างๆ ก็อาจจะเปลี่ยนแปลงไป แต่ถ้ามองในแง่ของตลาดแล้ว นี่คือ พื้นที่ใหม่และแบรนด์ต่างๆ เองก็ต้องการเข้ามามีส่วนร่วม หรือจับจองพื้นที่ของตัวเอง แน่นอนว่า มันยังมีช่องว่างอยู่มากสำหรับการเติบโตและการสร้างสิ่งพิเศษในพื้นที่ดังกล่าว
สมมุติว่า เทรนด์ดังกล่าวเดินทางไปในจุดที่ผู้คนส่วนใหญ่เปิดรับและแพร่หลาย เราจะได้เห็นการสร้างคอนเทนต์ที่จะส่งมอบประสบการณ์ใหม่ๆ บน Smart Display รวมถึงรูปแบบของการโฆษณาสินค้าด้วย อย่างน้อย Google ก็ต้องพัฒนาแคมเปญโฆษณาเชิงลึกบน Smart Display ให้ดีขึ้น เพื่อช่องทางการหารายได้ที่มั่นคงของทาง Google เอง แต่ทั้งหมดนี้จะดีหรือแย่ เราคงต้องดูกันต่อไป